ผลงานของ ทัพ “ฉลามชล” ในการออกสตาร์ท สู้ศึกไทยลีก 2023/24 เลกที่ 2 จากโปรแกรม 3 นัดที่ผ่านมา เก็บไปเพียงแค่ 3 คะแนน เท่านั้น ทำให้สถานการณ์บนตารางคะแนน ณ เวลานี้ ยังไม่ดีนักเนื่องจากทีมยังคงจมอยู่ ในโซนแดง มี 17 คะแนน จาก 18 นัด
ความเปลี่ยนแปลงของทีม ตั้งแต่ช่วงปลายเลกแรก มาจนถึงตอนนี้ 1 สิ่งที่เชื่อเหลือเกินว่า แฟนบอล “ฉลามชล” ทุกคนคงได้เห็น คือระบบการเล่นของทีม ที่เปลี่บนแปลงจาก 4-2-3-1 หรือ 4-4-2 มาเป็น 3-4-1-2 หรือ 3-4-3 ซึ่งระบบการเล่นดังกล่าวถือเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีม เก็บแต้มได้มากขึ้น และ เหนือสิ่งอื่นใดคือการที่ยังอยู่บนเส้นของฟุตบอลถ้วยแห่งความหวัง ทั้ง ช้าง เอฟเอคัพ และ รีโว่ ลีกคัพ นั่นเอง
อะไรคือเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงของ “ฉลามชล” ในเรื่องของระบบการเล่น โดยเฉพาะเกมรับกับสถานการณ์ในการลุ้นหนี้โซนแดงตอนนี้…
ปกติแล้ว ช่วงเลกแรก ระบบการเล่นของ ชลบุรี เอฟซี คือ 4-2-3-1 โดยจะใส่แผงหลังแบบแบ็คโฟร์ และมีสองกองกลางอย่าง กฤษดา กาแมน และ กษิดิศ กาฬสินธุ์ คอยไล่บอล และเชื่อมเกมในแดนกลาง โดยมีแผงแนวรุกอีก 4 ราย ทั้งกราบซ้าย, กราบขวา, หน้าต่ำ และกองหน้าตัวเป้า ซึ่งผลงานในช่วง
แต่เมื่อผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เกิดข้อผิดพลาดในรายบุคคลมากมาย ประกอบกับนักเตะตัวหลักอย่าง กฤษดา กาแมน ย้ายทีม ก็ทำให้กุนซือใหญ่อย่าง “โค้ชเฮง” ต้องยืดหยุ่นระบบมาปรับใช้ 3-4-3 ในบางนัด สลับกับ 3-4-1-2 โดยมีผู้เล่นหลัก อย่าง เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว เป็นปราการหลังตัวกลาง โดยมี จักรพงษ์ แสนมะฮุง, บุคฆอฆี เหล็มดี คอยประสานงานทางซ้าย และ ขวา
การกลับมาช่วยทีมอีกครั้งของ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว นอกเหนือจะเป็นการขันเกมรับให้แน่นขึ้นแล้ว ประสบการณ์ในสนามของ เฉลิมพงษ์ ยังจะเป็นพี่ใหญ่ที่จะปักหลักยืนสู้ไปพร้อมกับน้องๆทุกคน เป็นคนคอยปลุกเร้า เป็นศูนย์กลางของเกมรับ นั่นคือสิ่งที่ขาดหายไปจากเลกแรก
ซึ่งจากผลงานทั้ง 3 เกมที่ผ่านมา แม้จะเก็บได้เพียงแค่ 3 คะแนน แต่การคัมแบ็คของ เฉลิมพงษ์ ถือเป็นการแก้ไขปัญหาเกมรับที่ตรงจุด แม้อาจจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกาย หลังจากหยุดพักการเล่นฟุตบอลไปนาน รวมไปถึงการปรับตัวให้เขากับรูปแบบและวิธีการเล่นใหม่ๆ การประสานงานกับผู้เล่นใหม่ ผู้เล่นดาวรุ่งหลายๆคนอยู่บ้าง ก็ตาม
จักรพงษ์ แสนมะฮุง แนวรับสารพัดประโยชน์ที่ในยามเล่นระบบหลัง 4 เขาก็สามารถเล่นในตำแหน่งฟูลแบ็คฝั่งซ้าย หรือ คู่เซ็นเตอร์แบ็ค ได้ แต่เมื่อระบบการเปลี่ยนมาเป็นหลัง 3 การประจำการในตำแหน่ง เซ็นเตอร์แบ็คฝั่งซ้าย ผลผลิตจาก ชลบุรี เอฟซี อคาเดมี่ผู้ก็สามารถทำหน้าได้อย่างยอดเยี่ยยม
หลังปล่อยยืมตัวออกไปหาประสบการณ์เขากลับมาพร้อมความมั่นใจ มีความนิ่ง กล้าเล่น คุมจังหวะได้ดีนั่นจึงทำให้ “โค้ชเฮง” ไว้วางใจ และนับเป็นการวางหมากที่ถูกต้องเลยของ “โค้ชเฮง” เพราะนอกจากในเรื่องของเกมรับแล้ว จักรพงษ์ ยังเป็นกองหลังที่สามารถออกบอลให้เพื่อนได้ดีด้วย
บุคฆอรี เหล็มดี ด้วยสไตล์การเล่นที่บู๊ดุดัน กล้าแลก กล้าปะทะ กล้าชน ยืนปักหลักเฝ้าเกมรับฉลามชล อย่างขยันขันแข็ง ไม่เกรงกลัวรุ่นพี่ นั้นคือเครื่องหมายการค้าประจำตัวของ บุคฆอรี เหล็มดี ปราการหลังดาวรุ่งวัย 19 ปี จาก ชลบุรี เอฟซี อีก 1 นักเตะ ที่ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยสัญญายืมตัวเมื่อครึ่งฤดูกาลที่แล้ว
เขากลับมาด้วยความมุ่งมั่น แม้จะไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามมากนักในเลกแรก แต่เขาไม่ยอมแพ้ พยายามฝึกซ้อมทำงานหนัก จนสามารถเอาชนะใจ กุนซือผู้ปลุกปั้นเขาขึ้นมาอย่าง “โค้ชเฮง” ได้สำเร็จ ได้ลงประจำการในพื้นที่ ปราการหลังตัวกลางฝั่งขวา
“กองหลัง 3 คน อาจจะดูน้อยเมื่อเทียบกับแผนอื่นๆ แต่จุดเด่นของรูปแบบการเล่นนี้ คือแผงกองกลางที่มีจำนวนถึง 5 คน ซึ่งผู้เล่นริมเส้นสามารถขึ้นลงเพื่อสนับสนุนเกมรับและเกมรุกได้ตามสถานการณ์ และคอยสร้างโอกาสมากมายให้กับกองหน้า อีกทั้งช่วยสร้างสถานการณ์ที่ดีเมื่อเกมบุกก้าวไปข้างหน้า และยังส่งเสริมรูปแบบการจู่โจมของฟุตบอลที่ไหลลื่น ในขณะเดียวกันสามารถเปลี่ยนเป็น 5-4-1 ได้อย่างง่ายดายเมื่อทีมไม่มีลูกบอล และพื้นที่ส่วนกลางของสนามฟุตบอลมีผู้เล่นถึง 4 คนคอยเติมเกมรับและรุกได้ตลอดทั้งเกม”
“สำหรับ ชลบุรี เอฟซี เราเปลี่ยนแปลงมาเล่น ระบบหลัง 3 สาเหตุสำคัญคือ เรามี ทรัพยากรหรือผู้เล่น เหมาะที่จะเล่นหลัง 3 มากกว่า”
“เพราะ ยานิค โบเน่, ทรงชัย ทองฉ่ำ, อีชานดง และ แม้แต่ กษิดิศ กาฬสินธุ์ เองก็เป็นกองหลังที่มีตำแหน่วเป็นปราการหลังตัวกลางแทบทั้งหมด ซึ่งระบบการเล่นในฟุตบอลยุคใหม่ต้องสามารถยืดหยุ่นได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นหลักคือ ความเหมาะสมกับนักเตะที่มีอยู่ เท่านั้นเอง” โค้ชเฮงกล่าว