“ต้าร์” ทรงชัย ทองฉ่ำ แนวรับเลือดเนื้อเชื้อไข ชาว จ.ชลบุรี จุดเริ่มต้นของเส้นทางลูกหนัง สู่กำลังสำคัญ ทัพ “ฉลามชล” และ ทีมชาติไทย

“ต้าร์เป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่มีความสามารถตั้งแต่เด็กๆ ผมก็พยายามบอกเขามาตลอดว่าเขาจะเป็นกองหลังที่ดีที่สุดในประเทศไทย ตอนนี้เขาก็เป็นเยาวชนของทีมชาติ แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง ถ้าให้ผมพูดให้เห็นภาพ ก็เหมือนนักเตะญี่ปุ่นที่เล่นอยู่ในสเปน เหลือเพียงรูปร่างและความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่ต้องปรับแค่นั้นเอง จับตาดูไว้ครับ น้องจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวท็อปในอนาคต”

นี่คือบทสัมภาษณ์ของ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล ประธานพัฒนาเทคนิคสโมสร ชลบุรี เอฟซี ที่เคยให้กล่าวถึง ทรงชัย ทองฉ่ำ เอาไว้กับสื่อ เมื่อถูกถามถึงมุมมองที่มีต่อแนวรับ เจ้าของส่วนสูง 183 เซ็นติเมตรรายนี้

จุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายลูกหนังของ “กีต้าร์” หรือ “ต้าร์” ที่แฟนบอลเรียกกันนั้น เกิดจากการที่เขาได้ติดตามคุณพ่อ ไปดูฟุตบอล จนเริ่มมีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอล นั่นจึงทำให้คุณพ่อของต้าร์ สานต่อความฝันด้วยการพาไปฝึกฟุตบอลเป็นครั้งแรกแถวๆ ต.บางพระกับ โค้ช นิมิตร ฟักทอง แต่ด้วยความสามารถที่ไม่ธรรมดา ฉายแววเก่งตั้งแต่เด็กๆ ต่อมาจึงทำให้ ต้าร์ มีโอกาสไปคัดตัว เข้ามาเป็นนักเตะสายเลือกของทัพ “ฉลามชล” ในรั้ว ชลบุรี เอฟซี อคาเดมี่ และนั้นก็เป็นที่เสริมสร้างให้ แนวรับเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นชาว จ.ชลบุรี มีฝีเท้าที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ตลอดระยะเวลาของ ต้าร์ ในรั้ว ชลบุรี เอฟซี อคาเดมี เขาสามารถทำผลงานโดดเด่นในการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนแทบทุกรายการที่ลงทำการแข่งขัน ผ่านการคว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียน 17 ปี ยูธลีก, แชมป์เยาวชนฟุตบอลนักเรียนกรมพลศึกษา รุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี, รองแชมป์ฟุตบอลเยาวชนชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี, รองแชมป์โค้ก คัพ ก่อนจะสานต่อสู่เส้นทางทีมชาติ ในชุดอายุไม่เกิน 19 ปี ในเวลาต่อมา ก่อนจะเป็น 1 ใน 4 ดาวรุ่ง ร่วมกับ พงศกร ตรีสาตร์ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว และ ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ ที่ถูกผลักดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ในฤดูกาล 2020-2021

ซึ่งการก้าวข้ามจากฟุตบอลนักเรียน มาสู่ฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการเล่นในฟุตบอลไทยลีก เลเวลของเกมมันห่างกันเยอะมาก นั่นจึงทำให้เขารู้สึกกดดันไม่น้อย ซึ่งวิธีรับมือกับความกดดันของ ต้าร์ เขาเลือกที่จะโทรไปหาพี่สาว ซึ่งก็ได้คำแนะนำดีๆกลับมาเสมอ จนได้มีโอกาสออกสตาร์ทลงเล่นเกมแรก ในไทยลีก อย่างเป็นทางการ กับ พีที ประจวบ เอฟซี ซึ่งแม้ว่าบทสรุปของเกมดังกล่าวจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ ของ ชลบุรี เอฟซี แต่ในความรู้สึกของ ต้าร์ แล้ว เขามีความสุขเพราะมันคือเกมแรกในชีวิตนักเตะอาชีพ ชลบุรี เอฟซี ชุดใหญ่ และเขาก็พอใจกับผลงานในสนาม ที่สามารถต่อสู้กับอุปสรรคที่ต้องการพิสูจน์เด็กใหม่อย่างเขามากมาย ทั้งฝนตก สนามลื่น ความกลัวที่จะเล่นผิดพลาดด้วยสภาพสนามที่ไม่คุ้นชิน และ อื่นๆอีกมากมาย

ซึ่งนั่นก็ทำให้ “ตาร์” ทรงชัย ทองฉ่ำ ก็กลายเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟทางเลือกใหม่ของทีมเรื่อยมา จนกระทั้ง “ฉลามชล” เดินทางมาถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอล ช้าง เอฟเอคัพ ซึ่ง ต้าร์ ในวัย 19 ปี ณ เวลานั้น ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริง พบกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งก่อนเกมใครๆก็มองว่าเหนือกว่า ชลบุรี โดยเฉพาะคุณภาพของนักเตะทั้งไทยและต่างชาติ

แต่ “ต้าร์” และขุนพล “ฉลามชล” ภายใต้การคุมทัพ ของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ จัดการหยุดเกมรุกของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จนสามารถหักปากกาเซียน เอาชนะไปได้ 2-1 พาทีมเข้างชิงชนะเลิศกับ เชียงราย ยูไนเต็ด ลุ้นแชมป์ ช้าง เอฟเอคัพ สมัยที่ 3 ซึ่งในเกมรอบชิงชนะเลิศกับ เชียงราย ยูไนเต็ด เขาก็ยังได้รับความไว้วางใจให้ลงเป็นตัวจริงอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ ชลบุรี เอฟซี เป็นฝ่ายเอาชนะจุดโทษปาดหน้าคว้าแชมป์อย่างน่าเสียดาย แต่แม้จะได้รองแชมป์ฟุตบอล ช้างเอฟเอคัพ แต่เขาก็นำความผิดหวังในครั้งนั้น กลับมาพัฒนาตัวเองอย่างหนัก เพื่อเป้าหมายที่สูงขึ้น คือการก้าวไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ และไปเล่นลีกต่างประเทศให้ได้

นี่คือเรื่องราวของ ทรงชัย ทองฉ่ำ อีก 1 ผลผลิตแห่งความภาคภูมิใจ ของรั้ว ชลบุรี เอฟซี อคาเดมี่ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นขุมกำลังสำคัญของทัพ “ฉลามชล” และ ทีมชาติไทย ในปัจจุบัน นั่นเอง