“บิ๊กบอล” เปิดใจทำไมต้อง “โค้ชเตี้ย”?

สร้างความฮือฮาไม่น้อยสำหรับการเปิดตัวกุนซือคนใหม่นอกสายเลือดสีฟ้า-น้ำเงินอย่าง “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ กุนซือวัยย่าง 52 กะรัต  เมื่อวันจันทร์ที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา เรื่องราวครั้งนี้กลายเป็น “ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์” ของวงการฟุตบอลไทยและแฟนคลับฉลามชล พร้อมมีคำถามต่างๆมากมายจากเเฟนบอลว่า ทำไมฝูงฉลาม ต้องมีหัวเรือที่เป็นผู้ชายที่ชื่อ สะสม พบประเสริฐ ?

งานนี้ผู้ที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดก็คือบอร์ดบริหารของฉลามชล โดย “บิ๊กบอล”ศศิศ สิงห์โตทอง ผจก.หนุ่มฉลามชล ออกมาเปิดใจกับ “ดีล” ครั้งนี้ว่า

ศศิศ : ต้องย้อนไปเมื่อซีซั่นที่แล้ว ทางบอร์ดบริหารชลบุรี เองก็ได้ทาบทามโค้ชเตี้ยไปครั้งนึง เมื่อต้นซีซั่น 2018  ซึ่งทางบอร์ดของเราก็ได้ไปเจรจากับโค้ชเตี้ยแล้ว และก็เกือบจะลงเอย แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อโค้ชเตี้ย ติดภารกิจเรื่องครอบครัวในช่วงนั้น ทำให้เราไม่ได้เขามาคุมตั้งแต่ปีที่แล้ว และสุดท้ายเป็น โกรัน ที่เข้ามาคุมแทน

มีเดีย : แล้วทำไมปีนี้ “โค้ชเตี้ย” ถึงกลับมาคุมทีมฉลามชลได้อีกครั้ง ?

ศศิศ : เรื่องนี้ผมจะไล่เรียงยาวๆเลยนะ ก็คือตั้งแต่เกมที่เราเปิดบ้านพ่ายให้กับท่าเรือ 2-3 โค้ชโบ้ก็มาพูดกับผมละว่า พี่รับผิดชอบกับผลงาน แต่ทางผมและบอร์ดบริหารก็ห้ามเอาไว้และจากนั้นก็ โค้ชโบ้ก็ขอลาออกหลายเกมทั้งเกม แพ้สุพรรณ 0-3 พ่าย โคราช 0-4  และจนกระทั่งเกมล่าสุดที่บุกไปพ่าย พีทีที ระยอง 0-1 โค้ชโบ้ ก็ขอรับผิดชอบผลงานตัวเอง และครั้งนี้ทางบอร์ดฉลามก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจของโค้ชโบ้

มีเดีย : ทำไมต้อง “โค้ชเตี้ย” กุนซือนอกสายเลือด ฟ้า – น้ำเงิน ?

ศศิศ : ทางบอร์ดบริหารได้ติดตามผลงานของโค้ชเตี้ยมานาน ถึงแม้โค้ชเตี้ยจะไม่ใช่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชลบุรีมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้  แต่สิ่งที่เป็นซิกเนเจอร์ของโค้ชเตี้ยก็คือความกล้า และจิตวิทยาที่ทางเราได้ศึกษาข้อมูลมาจากกุนซือคนนี้ รวมทั้งประสบการณ์ที่โชกโชนกับวงการฟุตบอลไทย ที่โค้ชเตี้ยผ่านงานมากับหลายสโมสรฯหลายขวบปีในวงการฟุตบอลไทย  อีกทั้งโค้ชเตี้ยมีความกล้า มีจิตวิทยา และทางเรา(ชลบุรี)ก็ต้องการให้ โค้ชเตี้ยเค้นศักยภาพนักเตะของเราออกมา ทั้งนักเตะที่เป็นดาวรุ่ง นักเตะต่างชาติ และนักเตะไทย

หากย้อนไปเมื่อครั้นที่โค้ชเตี้ยทำทีมท่าเรือได้แชมป์ลีกคัพ หากเทียบตัวผู้เล่นแล้ว นักเตะท่าเรือชุดนั้นก็เป็นนักเตะที่ไร้ซุปเปอร์สตาร์ แต่โค้ชเตี้ยก็สามารถเค้นหัวใจ และความเก่งของนักเตะเหล่านั้นออกมาจนได้แชมป์ โดยเฉพาะเกมนัดชิงกับ เทโรฯ ที่เกมนั้นรูปเกมท่าเรือแพ้ตลอด 90 นาที แต่โค้ชเตี้ยก็ปลุกหัวใจผู้เล่นสิงห์เจ้าท่า ให้วิ่งล่าตาข่ายจนได้แชมป์

ผมพูดตรงๆเลยว่า สิ่งที่เรา(บอร์ดฉลาม)อยากได้โค้ชเตี้ยมาร่วมงานก็เพราะ เราต้องการให้โค้ชเตี้ย เค้นศักยภาพนักเตะเราออกมา ด้วยวิธีการของโค้ชเตี้ย ผมเชื่อว่าเด็กของเรามีศักยภาพที่ดี

มีเดีย : คุณศศิศเปิดเผยถึงการเจรจาดึง “โค้ชเตี้ย” มาทำทีมอีกครั้ง และโจทย์ที่ต้องให้โค้ชเตี้ยทำงานครั้งนี้คือ ?

ศศิศ :  ก็อย่างที่เอ่ยไปก่อนหน้านี้ว่า เราเคยทาบทามโค้ชเตี้ยมาแล้วในปี2018 แต่ก็ล้มดีลไป เพราะเรื่องครอบครัวของโค้ชเตี้ย แต่ตอนนี้มีโอกาสอีกครั้ง หลังจากเกมพ่าย พีทีที.ระยอง  และ โค้ชโบ้ ก็ขอลาออก ทางตัวผมเลยทาบทามโค้ชเตี้ยอีกครั้ง ว่ายังสนใจในทีมฉลามชลอยู่มั้ย โค้ชเตี้ยตอบทันทีว่าสนใจ และทางเราก็ยื่นข้อเสนอ 2 ขอที่โค้ชเตี้ยชื่นชอบ ข้อแรกก็คือ อยากให้โค้ชเตี้ยทำการบ้านและแก้ปัญหาของทีมเรา พร้อมเรียกศักยภาพนักเตะของเราออกมา  ส่วนข้อที่ 2 ก็คือเราเสนอให้โค้ชเตี้ยมาคนเดียว และเรามีทีมงานสตาฟฟ์ทั้งหมดคอยช่วยเหลือ แต่ทุกอย่างทั้งการจัดตัวผู้เล่น การตัดสินใจทุกอย่างในทีม โค้ชเตี้ยคือเบอร์ 1 หลังจากที่เราได้ยื่นข้อเสนอ 2 ข้อนี้ไป โค้ชเตี้ยก็ตอบตกลงทันที

มีเดีย : สุดท้ายตั้งเป้าไว้อย่างไรกับ “ดีล” นี้ ?

ศศิศ : ก็ทุกการเปลี่ยนแปลงมันก็ต้องโดนจับตามอง อาจจะโดนวิจารณ์บ้าง ด่าบ้าง ว่าบ้าง หรืออาจจะโดนชื่นชม แต่การเปลี่ยนแปลงมันก็คือการเสี่ยง ซึ่งมันอาจจะดีกว่าหรือไม่ดีขึ้น แต่อย่างน้อย มันก็มีความหวังว่า มันจะต้องดีกว่าเดิม สุดท้ายก็อยู่ที่ผลงานในสนาม

 มีเดียชลบุรี เรียบเรียง